คือการที่โจทก์ส่งคำฟ้องให้จำเลย
แล้วจำเลยก็ให้การ
แต่ลำเลยมีประเด็นที่อยากจะฟ้องโจทก์ในคดีที่เกี่ยวกันกับที่โจทก์ฟ้องมา
จำเลยก็สามารถเขียนคำฟ้องในคำให้การนั้นได้เลยโดยแยกเป็นส่วน ๆ ไป
เพื่อที่จะได้เข้าใจง่ายและเป็นระเบียบ
การฟ้องแย้งนี้ได้บัญญัติไว้ใน
ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๗๗ “เมื่อได้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องให้จำเลยแล้ว
ให้จำเลยทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวัน
ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า
จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้
แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว
ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ให้ศาลตรวจดูคำให้การนั้นแล้วสั่งให้รับไว้
หรือให้คืนไป หรือสั่งไม่รับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้
ให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดตามมาตรา ๕๗ (๓)
โดยอนุโลม”
แยกพิจารณาได้ดังนี้
-ฟ้องแย้งของจำเลยต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์
-ถ้าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์แล้ว
ศาลจะสั่งให้จำเลยยื่นฟ้องใหม่เป็นคดีต่างหาก
-ฟ้องแย้งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมวางศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้ง
-จำเลยต้องส่งคำให้การและฟ้องแย้งต่อโจทก์
เพื่อให้โจทก์ทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งต่อศาลภายใน ๑๕ วัน ตามมาตรา ม.๑๗๘
คำให้การและฟ้องแย้งนี้เมื่อพิจาณาชื่อก็บอกได้แล้วว่าต้องมีคำให้การ
+ คำฟ้องนั้นเอง คำให้การและคำฟ้อง
เขียนอย่างไรมีหลักเกณฑ์อย่างไรได้อธิบายแล้ว
มาดูซิครับว่าคดีไหนบ้างที่ต้องเขียนคำให้การและฟ้องแย้ง
คำตอบก็คือ มีเกือบทุกคดีครับ แต่ในทางปฏิบัติจะพบเห็นคดีแบบนี้น้อยมาก
เพราะในทางปฏิบัติแล้วตัวโจทก์เองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าฟ้องไปแล้วจำเลยจะมีข้อต่อสู้อย่างไรถ้ามีผลทำให้คดีของโจทก์แพ้เลย
และแถมด้วยผลตำพิพากษาของคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ผูกพันโจทก์อีกต่างหาก โจทก์ก็จะไม่ฟ้องในคดีนั้นมา
กรณีที่จำเลยจะฟ้องแย้งนี้
จะเกิดขึ้น คือ โจทก์ฟ้องมาโดยโจทก์ไม่รู้ข้อเท็จจริงที่สำคัญ
หรือข้อเท็จจริงของโจทก์ส่วนที่สำคัญสูญหาย หรือถูกทำลาย
ดังตัวอย่าง เช่น จำเลยเช่าซื้อรถยนต์และส่งค่าเช่าซื้อครบทุกงวดแล้ว
แต่โจทก์กลับมาฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ใช้แบบฟอร์มคำให้การจำเลย
(๑๑ ก.) ที่หัวแบบฟอร์มที่มีคำว่า คำให้การจำเลย ให้เขียนต่อจากคำให้การจำเลย ว่า
“และฟ้องแย้ง” กรอกแบบฟอร์มด้านบนและมาเริ่มที่ ข้อ ๑. กันเลย
ข้อ ๑.
ตามที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดนัดไม่ส่งค่างวดตามสัญญาเช่าซื้อ...............งวด
รวมเป็นเงิน................................บาทนั้น จำเลยขอให้การปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์กล่าวคือ
จำเลยได้ชำระค่างวดตามกำหนดสัญญาทุกเดือน และชำระค่างวดครบถ้วนตามสัญญา
ตามใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้จำเลยเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง หมายเลข ๑
ข้อ ๒. จำเลยขอฟ้องแย้งโจทก์ว่า เมื่อวันที่.....เดือน.............ปี.....จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อ.....................รุ่น..................ทะเบียน..................ในราคา........................บาท
โดยผ่อนชำระค่าเช่าซื้องวดละ ........................บาท มีกำหนด..............งวด
รายละเอียดปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อ ตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์
หมายเลข...................
ต่อมาเมื่อจำเลยได้ชำระค่างวดครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยได้ไปติดต่อโจทก์ให้โอนชื่อในทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลย
แต่จำเลยปฏิเสธ จำเลยจึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปให้โจทก์
แต่โจทก์ก็ยังเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามและใบไปรษณีย์ตอบรับ
ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข .......และ....................
ข้อ ๓.
การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับความเสียหายกล่าวคือ จำเลยไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ชื่อทางทะเบียนในรถยนต์คันดังกล่าว
ดังนั้นจึงขอศาลได้โปรดยกฟ้องโจทก์
และพิพากษาให้โจทก์ไปทำการโอนชื่อทางทะเบียนรถยนต์
ยี่ห้อ.........รุ่น................หมายเลขทะเบียน..................ให้แก่จำเลย
หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม
ขอศาลให้จำเลยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนโจทก์
และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยด้วย
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ลงชื่อ.......................................................จำเลย
คำให้การและฟ้องแย้งนี้ข้าพเจ้า................................................ทนายจำเลย
เป็นผู้เรียงและพิมพ์
ลงชื่อ.......................................................ผู้เรียงและพิมพ์
ขอย้ำว่านี้เป็นตัวอย่างแบบการเขียนคำให้การและฟ้องแย้ง
การเขียนนั้นไม่ต้องตามแบบตัวอย่างก็ได้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พยานเอกสาร
หรือพยานต่าง ๆ เป็นรายคดีไป แต่หัวใจสำคัญ และองค์ประกอบในการเขียนคำฟ้อง
หรือคำให้การ ต้องมีในเรื่องนั้น ๆ เรียงลำดับเหตุการณ์ให้ดี
อ่านแล้วให้เข้าใจได้ง่าย เพียงเท่านี้ก็สามารถเขียนได้ทุกคดีไป
เมื่อจำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งแล้วจำเลยต้องนำส่งหมายให้กับโจทก์เพื่อที่โจทก์จะได้ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
หลักในการเขียนคำให้การแก้ฟ้องแย้งนั้นมีหลักคล้ายกับการเขียนคำให้การของจำเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น